Layered Cyber Security : 7 วิธีง่าย ๆ สู่โลกออนไลน์ที่ปลอดภัยกว่าเดิม


14/Aug/2024
Avery it tech
Operating System

เคยเป็นไหม ? เล่นเน็ตอยู่ดี ๆ ก็เจอไวรัสเล่นงานซะงั้น หรือข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลไปแบบงง ๆ ไม่ต้องห่วง! วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ "Layered Cyber Security" หรือการป้องกันแบบหลายชั้น ที่จะช่วยให้เราปลอดภัยในโลกออนไลน์ เหมือนมีบอดี้การ์ดหลายคน คอยคุ้มกันเราจากภัยร้ายรอบด้าน!

ด่านแรก : ความปลอดภัยทางกายภาพ (Physical Security) ง่าย ๆ เลย ก็คือการล็อคห้อง ปิดประตู ปิดหน้าต่าง ให้แน่นหนา ไม่ให้ใครมาหยิบฉวยข้อมูลในคอม หรืออุปกรณ์ของเราไปได้ง่าย ๆ เช่น :

  • ระบบควบคุมการเข้าถึง (Access Control Systems) : ป้องกันคนไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงพื้นที่สำคัญ เช่น ห้องเซิร์ฟเวอร์
  • ระบบตรวจจับการบุกรุก (Intrusion Detection Systems) : แจ้งเตือนเมื่อมีคนพยายามเข้าถึงพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • แสงสว่างเพื่อความปลอดภัย (Security Lighting) : เพิ่มความปลอดภัยให้กับพื้นที่โดยรอบ
  • การระบุบุคคลด้วยข้อมูลชีวมาตร (Biometric Identification) : ใช้ลายนิ้วมือ ม่านตา หรือใบหน้า เพื่อยืนยันตัวตน
  • การติดตามด้วย GPS (GPS Tracking) : ติดตามอุปกรณ์ที่สูญหายหรือถูกขโมย

ด่านที่สอง : ความปลอดภัยเครือข่าย (Network Security) ถ้าเปรียบโลกออนไลน์เป็นถนน ด่านนี้ก็เหมือนกับการติดตั้งไฟจราจร และกล้องวงจรปิด เพื่อคอยตรวจจับรถต้องสงสัย หรือพวกแฮกเกอร์ ที่พยายามจะบุกรุกเข้ามาในเครือข่ายของเรา เช่น :

  • ไฟร์วอลล์ (Firewall) : ป้องกันการเข้าถึงเครือข่ายที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • VPN (Virtual Private Network) : สร้างเครือข่ายส่วนตัวที่ปลอดภัยบนเครือข่ายสาธารณะ
  • เกตเวย์ความปลอดภัย (Security Gateway) : ตรวจสอบและกรองทราฟฟิกที่เข้าและออกจากเครือข่าย
  • การป้องกันการโจมตีแบบ DDoS (DDoS Protection) : ป้องกันการโจมตีที่ทำให้ระบบล่ม

ด่านที่สาม : ความปลอดภัยรอบวง (Perimeter Security) ด่านนี้เหมือนกับการสร้างกำแพงรอบเมือง มีทหารยามคอยตรวจตราตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครลอบเข้ามาในระบบของเราโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น :

  • การจัดการบันทึกข้อมูล (Log Management) : บันทึกกิจกรรมต่าง ๆ ในระบบเพื่อตรวจสอบย้อนหลัง
  • การล่าภัยคุกคาม (Threat Hunting) : ค้นหาภัยคุกคามที่อาจซ่อนอยู่ในระบบ
  • การทดสอบการแทรกซึม (Penetration Testing) : ทดสอบระบบเพื่อหาช่องโหว่
  • การสแกนหาช่องโหว่ (Vulnerability Scanning) : สแกนระบบเพื่อหาช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตี
  • การตั้งค่าขอบเขตของบั๊ก (Bug Boundaries) : จำกัดขอบเขตของความเสียหายที่อาจเกิดจากบั๊ก

ด่านที่สี่ : ความปลอดภัยบนคลาวด์ (Cloud Security) สมัยนี้ใคร ๆ ก็ฝากข้อมูลไว้บน Cloud กันทั้งนั้น ดังนั้นด่านนี้จึงสำคัญมาก! เหมือนกับการมีตู้เซฟอย่างดี ที่มีระบบล็อคแน่นหนา เพื่อป้องกันข้อมูลของเราไม่ให้หายไปไหน เช่น :

  • การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) : เข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การจัดการและเข้าถึงข้อมูล (Identity and Access Management) : กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรบนคลาวด์
  • การปฏิบัติตามความปลอดภัย (Security Compliance) : ปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย
  • การป้องกันการสูญหายของข้อมูล (Data Loss Prevention) : ป้องกันการสูญหายของข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจหรือโดยเจตนา
  • การตอบสนองและการวิเคราะห์เหตุการณ์ (Incident Response and Forensics) : ตอบสนองและตรวจสอบเหตุการณ์ความปลอดภัย
  • ความปลอดภัยของผู้ขาย (Vendor Security) : ประเมินและจัดการความเสี่ยงจากผู้ให้บริการคลาวด์


ด่านที่ห้า : ความปลอดภัยที่จุดปลายทาง (EndPoint Security) ด่านนี้จะคอยดูแลอุปกรณ์ของเราโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต เหมือนกับการมีวัคซีนป้องกันไวรัส ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ของเราติดไวรัส หรือมัลแวร์ เช่น :

  • แอนตี้ไวรัส (Anti Virus) : ป้องกันและกำจัดไวรัส
  • แอนตี้มัลแวร์ (Anti Malware) : ป้องกันและกำจัดมัลแวร์
  • การตรวจสอบแอปพลิเคชัน (App whitelisting) : อนุญาตให้เฉพาะแอปพลิเคชันที่ปลอดภัยทำงานได้
  • การควบคุมการเชื่อมต่อ (HIDC) : ควบคุมการเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกกับคอมพิวเตอร์

ด่านที่หก : ความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน (Application Security) แอปฯ ต่าง ๆ ที่เราใช้กันทุกวัน ก็อาจมีช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เข้ามาได้ ดังนั้นด่านนี้จะคอยตรวจสอบและป้องกันไม่ให้แอปฯ ของเราถูกโจมตี เช่น :

  • การสร้างโมเดลภัยคุกคาม (Threat Modelling) : วิเคราะห์และจำลองภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
  • การตรวจสอบการออกแบบ (Design Review) : ตรวจสอบการออกแบบแอปพลิเคชันเพื่อหาข้อผิดพลาด
  • การเขียนโค้ดที่ปลอดภัย (Secure Coding) : เขียนโค้ดที่ป้องกันช่องโหว่
  • การวิเคราะห์แบบสถิต (Static Analysis) : ตรวจสอบโค้ดเพื่อหาข้อผิดพลาดโดยไม่ต้องรันโปรแกรม

ด่านที่เจ็ด : ความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security) ข้อมูลส่วนตัวของเราสำคัญมาก! ด่านนี้จะคอยเข้ารหัสข้อมูลของเรา เหมือนกับการใส่รหัสล็อคให้กับข้อมูล เพื่อไม่ให้ใครมาอ่าน หรือขโมยข้อมูลของเราไปได้ เช่น :

  • การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) : เข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การจัดการและเข้าถึงข้อมูล (Identity and Access Management) : กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล
  • การปฏิบัติตามความปลอดภัย (Security Compliance) : ปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย
  • การป้องกันการสูญหายของข้อมูล (Data Loss Prevention) : ป้องกันการสูญหายของข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจหรือโดยเจตนา
  • การตอบสนองและการวิเคราะห์เหตุการณ์ (Incident Response and Forensics) : ตอบสนองและตรวจสอบเหตุการณ์ความปลอดภัย
  • ความปลอดภัยของผู้ขาย (Vendor Security) : ประเมินและจัดการความเสี่ยงจากผู้ให้บริการ

ด่านสุดท้าย : การป้องกันและการตอบสนอง (Prevention and Monitoring & Response) ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา ด่านนี้เปรียบเสมือนทีม SWAT ที่พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ จะคอยตรวจสอบระบบตลอดเวลา ถ้าพบสิ่งผิดปกติ ก็จะรีบจัดการทันที เช่น :

เห็นไหมว่าการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบหลายชั้น ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่เราเข้าใจและรู้จักวิธีป้องกันตัวเอง เราก็สามารถท่องโลกออนไลน์ได้อย่างสบายใจหายห่วง

ติดตามเรื่องราว IT สุดล้ำได้ที่ Avery IT Tech เพราะเรื่อง IT อยู่รอบตัวคุณ...