ประเทศไทยปลอดภัยแค่ไหนต่อภัยไซเบอร์ ?
สถานการณ์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นประเด็นที่อยู่ภายใต้การพิจารณาอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความร่วมมือในการประเมินความเสี่ยงระดับชาติ (Thailand National Cyber Risk Assessment Framework: THNCF) ที่จัดทำขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล จากการประเมินเชิงลึกและข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เห็นภาพรวมที่ซับซ้อน ประเทศไทยมีความตื่นตัวในการจัดทำกรอบมาตรฐาน แต่ยังเผชิญกับความเสี่ยงสูงหลายด้าน โดยเฉพาะภัยคุกคามที่มีความซับซ้อนและภัยคุกคามที่มาจากช่องโหว่พื้นฐาน
1. สถานะความพร้อมและมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ
ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามว่า "ประเทศไทยพร้อมแค่ไหนต่อภัยคุกคามไซเบอร์" โดยมองว่าเป็นเรื่องที่ยากจะตอบ เนื่องจากในขณะนี้ ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วง "วิ่งไล่เก็บมาตรฐาน" (running to collect standards) นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับบริบททางวัฒนธรรมและความเป็นพลเมืองดิจิทัล เช่น
- คนไทยมีนิสัย "ใจดี" และอาจมีความตื่นตัวในการรับมือภัยคุกคามก็ต่อเมื่อ เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นแล้วเท่านั้น
- ประเทศไทยมีการใช้ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้มี "ช่องโหว่" และการเผยแพร่ข้อมูลในสองเวอร์ชัน (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้าถึงช่องโหว่ได้ง่ายขึ้น
- การพึ่งพาต่างชาติสูงทำให้เสี่ยงต่อการถูก "วางยา" ตั้งแต่ระดับฮาร์ดแวร์ หรือแม้แต่การกีดกันทางเทคโนโลยี (เช่น กรณี Nvidia/AMD)
2. กรอบการประเมินความสามารถระดับชาติ (NCF)
สกมช. และมหาวิทยาลัยมหิดลได้พัฒนา National Capability Framework (NCF) ซึ่งถือเป็น กรอบความสามารถระดับประเทศครั้งแรก เพื่อวัดระดับความพร้อม ซึ่งหมายถึงความสามารถในการติดตามสถานการณ์ภัยคุกคามและความขัดแย้งของโลกอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาปรับปรุงรอบด้าน (continuous improvement)
มาตรวัดระดับความพร้อม (Maturity Scale) ถูกสร้างขึ้นโดยทีมงาน National Capability Framework (NCF) โดยอ้างอิงมาตรฐานของ ENISA มีเป้าหมายเพื่อ บ่งบอกว่าความสามารถ (Capability) ในแต่ละด้านขององค์กรนั้นครบถ้วน สมบูรณ์ เก่ง หรือมีการเติบโตไปมากน้อยแค่ไหน มาตรวัดนี้มีทั้งหมด 5 ระดับ ซึ่งแสดงถึงการก้าวหน้าขององค์กรในการจัดการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
การจำแนกระดับความพร้อม (Maturity Levels)
- Initial (เริ่มต้น) เป็นระดับพื้นฐานที่สุด หมายความว่าองค์กร ยังไม่เคยมีการดำเนินการใด ๆ หรือแม้แต่ประเมินตนเองว่าอยู่ในระดับใด
- Guidance (มีแนวทาง) องค์กรเริ่มมีการกำหนดแนวทาง เริ่มริเริ่มโครงการ (Initiate Project) มีการออกระเบียบ นโยบาย หรือแผนงานเบื้องต้น รวมถึงสามารถระบุผู้เกี่ยวข้อง (Stakeholder) ได้แล้ว
- Exhibit (แสดงให้เห็น) ระดับนี้แสดงถึง ความชัดเจน ในการปฏิบัติงาน โดยเริ่มมีแนวทางในการดำเนินการที่ชัดเจน มีการบังคับใช้ มีการจัดสรรทรัพยากร และมอบหมายบุคลากรเพื่อดำเนินโครงการอย่างเป็นรูปธรรม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า อย่างน้อยที่สุด ทุกองค์กรควรจะต้องบรรลุระดับนี้แล้ว
- Optimization (การเพิ่มประสิทธิภาพ) ระดับนี้คือกุญแจสำคัญของการ ขับเคลื่อนดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน องค์กรสามารถ ระบุความท้าทาย (Challenge) และช่องว่าง (Gap) ของตนเองได้แล้ว ซึ่งหมายถึงการ รู้ตัวตนเอง ว่ามีปัญหาหรือความเสี่ยงใด อย่างไรก็ตาม หากองค์กรเพียงแค่รู้ตัวตนเอง แต่ไม่ได้ดำเนินการต่อเนื่องเพื่อสร้างความยั่งยืน
- ระดับ 5: Adaptive (ปรับตัวได้) นี่คือ เป้าหมายสูงสุด ของ Maturity Scale ระดับ 5 หมายถึงการที่องค์กรมี Adaptiveness (ความสามารถในการปรับตัว) ซึ่งทำให้ สามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คีย์เวิร์ดสำคัญของระดับนี้คือ ความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเชื่อมโยงกับการทำ PDCA และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
มิติความสามารถหลัก 4 ด้านที่ต้องเสริมสร้าง
พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง สกมช. และมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อใช้ประเมินความพร้อมและศักยภาพขององค์กร ได้กำหนด มิติความสามารถหลักที่ต้องเสริมสร้าง (Capability) ที่จำเป็นออกเป็น 4 มิติหลัก
- มิติของการกำกับดูแล (Regulatory Control) กำหนดบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน การออกแบบและกำหนดมาตรฐาน และการจัดการความเสี่ยง
- มิติของการสร้างศักยภาพ/การตระหนักรู้ (Capability Building/Awareness) ฝึกอบรม (Training) การยกระดับทักษะ (Upskilling/Reskilling) โดยเฉพาะการฝึกคนให้มี "Critical Thinking" และ "Sense of Awareness" เพื่อให้เท่าทันภัยคุกคามที่เกิดจาก AI
- มิติด้านกฎหมายและข้อบังคับ (Laws and Regulations) นำแนวทางปฏิบัติ (Implementation) เช่น PDPA และกฎหมายไซเบอร์ มาประยุกต์ใช้ และความจำเป็นในการสร้าง Collaboration ด้านกฎระเบียบ เพื่อลดความซ้อนทับหรือภาระในการปฏิบัติตาม
- มิติของความร่วมมือ (Collaboration) สร้างความร่วมมือที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับองค์กร ภายในชาติ และนานาชาติ
3. ภัยคุกคามและช่องโหว่ที่ถูกระบุบ่อยที่สุด
จากการรวบรวมข้อมูลความเสี่ยงจาก 54 หน่วยงาน รวม 1,193 รายการความเสี่ยง (Records) พบว่าความเสี่ยงส่วนใหญ่ยังคงเป็นภัยคุกคามพื้นฐาน

นอกจากนี้ยังมีประเภทช่องโหว่

สินทรัพย์ที่ถูกเล็งเป้าหมายมากที่สุดคือ ซอฟต์แวร์และระบบสารสนเทศ รองลงมาคือ ข้อมูล และ เครือข่าย ตามลำดับ
4. ช่องว่างและความเสี่ยงที่มองข้าม (Underreported Threats)
รายงานการประเมินพบว่าความเสี่ยงที่มีความซับซ้อนสูงมักจะถูกกล่าวถึงน้อยมาก

5. ความเสี่ยงจำเพาะตามภาคส่วน (Line Sector Risk)
ความเสี่ยงที่หน่วยงานต้องเผชิญแตกต่างกันไปตามลักษณะของภารกิจ

6. ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์เพื่อความปลอดภัยที่ยั่งยืน
เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความยั่งยืนทางไซเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนวทางสำคัญ
- การลดการพึ่งพาต่างชาติ (Made in Thailand): ควรลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตั้งแต่ระดับ Chip, Hardware, Software ไปจนถึงแพลตฟอร์ม เพื่อให้ประเทศสามารถควบคุมและจัดการความเสี่ยงได้อย่างแท้จริง
- การจัดการข้อมูลชีวมิติ (Biometric Data): ต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของ Identity และข้อมูลชีวมิติ (เช่น ม่านตา, ลายนิ้วมือ) อย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ติดตัวและไม่สามารถรีเซ็ตได้
- การกำหนดมาตรฐานองค์ประกอบความเสี่ยง: สกมช. ควรออก รหัสมาตรฐาน (Coding) สำหรับองค์ประกอบความเสี่ยง (Asset, Threat Event, Vulnerability, Threat Actor) เพื่อให้ข้อมูลที่ส่งมามีความเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
- การพัฒนาบุคลากรเฉพาะทาง: การฝึกอบรมบุคลากรควรเน้นแบบ พุ่งเป้า (Segmented) และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยงที่ตรวจพบในแต่ละภาคส่วน
- การสร้างความร่วมมือและความยั่งยืน: ต้องเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ Connecting the Dot หรือการสร้างความเชื่อมโยงในการดำเนินงานตั้งแต่การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ การออกกฎหมาย ไปจนถึงการฝึกอบรม เพื่อให้เกิดการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน (Adaptive) รวมถึงการส่งเสริมให้หน่วยงานมีการซักซ้อมแผนรับมือเหตุการณ์ (Incident Response Plan) อย่างสม่ำเสมอ
ส่วนตัวผู้เขียนมองว่า ประเทศไทยยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์อยู่เยอะ เรามีกรอบการทำงานที่ดีขึ้นก็จริง แต่ยังต้องพึ่งพาต่างประเทศสูง และภัยรูปแบบใหม่ ๆ ก็ยังรับมือได้ไม่เต็มที่ จุดที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องทำให้ทุกคน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ตระหนักร่วมกัน เพราะความมั่นคงไซเบอร์ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของพวกเราทุกคน
ติดตามข่าวสารใหม่ๆได้ที่ Avery it tech #เพราะเทคโนโลยีอยู่รอบตัวคุณ #tech #itsolution #technology