SAP คืออะไร ?


19/Nov/2025
Avery IT Tech
Data Center

    SAP (System Applications, Products in data Processing) ก่อตั้งขึ้นในประเทศเยอรมนีเมื่อปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) โดยอดีตพนักงานจากบริษัท IBM ปัจจุบันสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Walldorf ประเทศเยอรมนี SAP เป็นผู้บุกเบิกและมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ด้าน Enterprise Resource Planning (ERP) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์บริหารจัดการทรัพยากรองค์กร

ในอดีต ระบบงานของ SAP ได้แก่ SAP R/2 ซึ่งทำงานบนระบบเมนเฟรม ก่อนจะถูกพัฒนามาเป็น SAP R/3 ซึ่งทำงานภายใต้สถาปัตยกรรม 3 ชั้น (3 Tier Client/Server) บนระบบ UNIX โดยตัว "R" ใน SAP R/3 หมายถึง "realtime data processing" (การประมวลผลข้อมูลแบบเวลาจริง) และ 3 หมายถึง สถาปัตยกรรม 3 ชั้น ได้แก่

1.ฐานข้อมูล (Database),
2.แอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ (Application Server)
3.ไคลเอนต์ (Client)

ปัจจุบัน SAP ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย SAP S/4HANA ซึ่งเป็นเจเนเรชั่นใหม่ของ SAP Business Suite ระบบ S/4HANA มีประสิทธิภาพสูง มีความยืดหยุ่น สามารถประมวลผลข้อมูลได้รวดเร็วแบบ Real-Time และเชื่อมต่อธุรกิจกับโลกดิจิทัลผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น IoT, Machine Learning หรือ Blockchain ข้อแตกต่างสำคัญคือ SAP S/4HANA ใช้ได้เฉพาะ SAP HANA Database เท่านั้น โดยฐานข้อมูลนี้ใช้เทคโนโลยี In-memory Database ซึ่งเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำหลัก (RAM) ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้เร็วกว่าฐานข้อมูลแบบดั้งเดิม

SAP ใช้งานอย่างไร? ระบบที่ประกอบด้วยโมดูลแบบบูรณาการ
ระบบ SAP ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงการดำเนินงานทั้งหมดขององค์กรเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว โดยประกอบด้วยหน่วยการทำงานย่อยจำนวนมากที่เรียกว่า "โมดูล" (Module) ซึ่งแต่ละโมดูลจะทำหน้าที่แตกต่างกันแต่สามารถทำงานร่วมกันได้ (Integrate Software)

โมดูลงานหลักในระบบ SAP
ระบบงาน ERP ของ SAP ครอบคลุมหลายโมดูลสำคัญ โดยตัวอย่างโมดูลใน SAP R/3 ECC 6.0 ที่นิยมใช้งาน ได้แก่

  1. FI (Financial Accounting): ระบบบัญชีการเงิน เป็นระบบงานพื้นฐานที่รองรับงานด้านการเงิน การบัญชีทั้งหมด รวมถึงการกำหนดรหัสบัญชี การบันทึกบัญชี และการออกรายงานต่างๆ ภายใต้ FI ยังมีระบบงานย่อย เช่น ระบบบัญชีเจ้าหนี้ (Accounts Payable - AP), ระบบบัญชีลูกหนี้ (Accounts Receivable - AR), ระบบสินทรัพย์ (Fixed Asset - FA), และระบบบัญชีแยกประเภท (General Ledger Accounting - GL)
  2. CO (Controlling): ระบบบัญชีบริหาร ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมต้นทุน การวิเคราะห์ และการออกรายงานเพื่อการดำเนินงาน
  3. MM (Materials Management): ระบบบริหารคลังวัสดุและการจัดซื้อจัดหา โมดูลนี้รับผิดชอบข้อมูลหลักวัสดุ (Material Master) ซึ่งเป็นข้อมูลหลักที่ทุกโมดูลต้องหยิบไปใช้
  4. SD (Sales and Distribution): ระบบการขาย การจัดส่ง และการจัดจำหน่าย
  5. PP (Production Planning): ระบบวางแผนการผลิต
  6. HCM (Human Capital Management): ระบบการบริหารและจัดการทรัพยากรบุคคล (เดิมคือ HR)
  7. QM (Quality Management): ระบบควบคุมคุณภาพ
  8. PM (Plant Maintenance): ระบบบำรุงรักษา
  9. WM (Warehouse Management): ระบบบริหารคลังสินค้า ใช้เมื่อต้องการควบคุมการหยิบสินค้าออกจากเชลล์หรือพาเลทให้แม่นยำยิ่งขึ้น
  10. IS (Industry Solution): ระบบสำหรับจัดการธุรกิจเฉพาะทาง เช่น ธุรกิจปิโตรเลียม (Industry Solution-Oil & Gas)

การทำงานพื้นฐานของระบบบัญชี (General Ledger: GL)
ระบบบัญชีแยกประเภท (GL) เป็นพื้นฐานข้อมูลที่สำคัญทางบัญชี ข้อมูลจากระบบงานอื่นจะถูกบันทึกเข้ามายังระบบบัญชีแยกประเภทโดยอัตโนมัติ

  • การบันทึกรายการโดยตรง (Direct G/L Posting): จะใช้ Posting Key เพื่อกำหนดการเดบิตและการเครดิตบัญชีแยกประเภท (เช่น 40 = เดบิต และ 50 = เครดิต บัญชีแยกประเภท) และต้องระบุ ประเภทของเอกสาร (Document Type) เช่น SA สำหรับ GL Document
  • การเชื่อมโยงข้อมูล: หากมีการบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบงานอื่น เช่น ค่าใช้จ่ายหรือรายได้ ข้อมูลนั้นจะถูกเชื่อมโยงไปยังศูนย์ต้นทุน (Cost Center) ทันที
  • การออกแบบผังบัญชี: การออกแบบรหัสบัญชีควรชัดเจนและเป็นหมวดหมู่ รหัสบัญชีสูงสุดสามารถกำหนดได้ 10 หลัก และรหัสผังบัญชีสูงสุด 4 หลัก (เช่น "SR01") ไม่ควรกำหนดรหัสองค์กรหรือหน่วยงานฝังอยู่ในรหัสบัญชี เพราะ SAP จะจัดเก็บข้อมูลหน่วยงานในโมดูล CCA (Controlling)
  • การควบคุมบัญชี: บัญชีสามารถถูกกำหนดให้มีการจัดการรายการคงค้าง (Open Item Management) ซึ่งหมายถึงต้องมีการเคลียร์รายการออกในภายหลัง (เช่น บัญชีซื้อรอนำส่ง)
  • การควบคุมการกรอกข้อมูล (Field Status Group): สามารถกำหนดได้ว่า Field ใดต้องกรอก (Required Field), ไม่บังคับกรอก (Optional Field) หรือไม่ต้องการให้กรอก (Suppress Field) เช่น การกำหนดให้บัญชีค่าใช้จ่ายต้องกรอกรหัสหน่วยงานเป็น Field บังคับ
  • การปรับปรุงมูลค่าเงินตราต่างประเทศ: ระบบ SAP มีฟังก์ชัน Revaluation เพื่อคำนวณผลต่างอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงปิดสิ้นงวดสำหรับทั้งบัญชีที่ควบคุมรายการคงค้างและบัญชีที่ไม่ควบคุมรายการคงค้าง
  • การปิดสิ้นงวด/สิ้นปี: ระบบรองรับการปิดงวดบัญชีปัจจุบันและเปิดงวดบัญชีถัดไป (Close and Open Period) รวมถึงการปิดบัญชีสิ้นปี (Balance Carried Forward)

SAP เหมาะกับองค์กรแบบไหน ?
การเลือกระบบ ERP ไม่ว่าจะเป็น SAP ERP หรือ Local ERP ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทธุรกิจ ขนาดองค์กร และงบประมาณ SAP ERP และ SAP S/4HANA มักเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับ

  1. องค์กรขนาดใหญ่ (Enterprise-scale) และมีความซับซ้อน: SAP ได้รับการออกแบบโดยเน้นลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่มาตั้งแต่แรก และสามารถปรับเปลี่ยนระบบให้เข้ากับธุรกิจที่มีความต้องการและกระบวนการที่ซับซ้อนได้อย่างยืดหยุ่น
  2. องค์กรที่ต้องการฟังก์ชันการทำงานที่ครอบคลุมครบถ้วน (Comprehensive Functionality): SAP ครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจ ตั้งแต่การผลิต การเงิน ทรัพยากรบุคคล การขายและการตลาด
  3. องค์กรที่มีงบประมาณและเวลาลงทุนสูง: SAP ERP มีชื่อเสียงในด้านราคาที่สูง และต้องการเงินทุนที่เพียงพอ รวมถึงใช้เวลาในการติดตั้งและปรับใช้นาน
  4. องค์กรที่มุ่งสู่ความเป็นผู้นำและการยกระดับสู่มาตรฐานสากล/Medical Hub: ตัวอย่างเช่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ใช้ RISE with SAP Private Cloud Edition เพื่อบริหารจัดการด้านการเงิน งบประมาณ จัดซื้อ คลังสินค้า และทรัพยากรบุคคล โดยมีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการแพทย์ระดับโลก
  5. องค์กรที่ต้องการใช้เทคโนโลยีฐานข้อมูลขั้นสูงและความเร็วแบบ Real-Time: เช่น การเลือกใช้ SAP S/4HANA เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่รวดเร็ว

ข้อดีและข้อเสียโดยสรุปของ SAP ERP เมื่อเทียบกับ Local ERP

ข้อดีของ SAP ERP

  • ครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจ
  • มีประสิทธิภาพและใช้งานง่าย (ตามการกล่าวถึงคุณลักษณะของ SAP ERP)
  • ได้รับการยอมรับจากองค์กรชั้นนำทั่วโลก

ข้อเสียของ SAP ERP

  • ราคาสูง
  • ใช้เวลาในการติดตั้งและปรับใช้นาน
  • ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งและใช้งาน

SAP เป็นผู้นำซอฟต์แวร์ ERP ระดับโลกที่โดดเด่นในด้านการบูรณาการและการทำงานแบบ Real-Time ผ่านโมดูลที่เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่การบัญชี (FI), การควบคุมต้นทุน (CO) ไปจนถึงการจัดซื้อ (MM) และการขาย (SD) แม้ว่าระบบ SAP จะต้องแลกมาด้วยการลงทุนที่สูงและระยะเวลาในการติดตั้งที่ยาวนาน แต่ความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับธุรกิจที่ซับซ้อน และการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มอย่าง SAP S/4HANA ทำให้ SAP เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับองค์กรขนาดใหญ่และองค์กรที่ต้องการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและบรรลุมาตรฐานระดับโลก. หากมอง SAP เป็นเสมือน "สมองส่วนกลาง" ขององค์กร โมดูลต่างๆ (เช่น การเงิน, การผลิต, การจัดซื้อ) ก็เป็นเหมือนอวัยวะที่เชื่อมโยงกัน เมื่อข้อมูลการดำเนินงาน (กระแสเลือด) ไหลผ่าน ทุกส่วนก็จะรับรู้และตอบสนองได้พร้อมกันทันที (Real-Time) ช่วยให้ผู้บริหารสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่าการทำงานแบบแยกส่วน

แหล่งอ้างอิง : https://www.belusys.com/sap-%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99/